ในปี 2567 นี้ บริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯยังคงเดินหน้าเปิดขายโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง มีผู้ประกอบการบางรายก้าวขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆของทั้งจำนวนการเปิดขายและมูลค่ารวมของโครงการใหม่สูงสุดในปี 2024 โดยในภาพรวมนั้นผู้ประกอบการหลายรายเลือกที่จะลดจำนวนโครงการใหม่ลง มองธุรกิจอื่นที่สร้างรายได้ในระยะยาวมากกว่า ทำให้จากที่เคยมีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่มากติดเป็นอันดับต้นๆ ในปีนี้มีบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯตกอันดับลงมาด้วยความตั้งใจของเขาเอง ซึ่งโครงการเปิดใหม่ในปีนี้นั้นมีมูลค่าการเปิดตัวรวมกันสูงกว่า 400,000 ล้านบาท มากกว่า 300 โครงการ โดย prop2morrow รวบรวมแผนการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ รวมถึงโปรเจ็กต์ไฮล์ไลท์ที่น่าสนใจมาดูกันว่าจะมีบริษัทใดบ้าง

10 บริษัทอสังหาฯที่มีการเปิดโครงการใหม่มูลค่าสูงสุด ปี 2567

แสนสิริ บริษัทอสังหาฯรายใหญ่ใหญ่ที่มีแผนเปิดขายโครงการใหม่ในปี 2567 มูลค่ารวมกว่า 61,000 ล้านบาท มากที่สุดในแง่ของมูลค่ารวมการเปิดขายโครงการใหม่ จากจำนวน 46 โครงการ โดยมีทั้งโครงการราคาแพง ไปจนถึงโครงการที่มีราคาไม่แพงมาก อาจจะเน้นโครงการในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมากกว่าโครงการในต่างจังหวัด แสนสิริมีแผนเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 20 โครงการมูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งโครงการระดับ Luxury กับโครงการ Branded Residences ด้วยแบรนด์ The Standard Residence ที่หัวหิน ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 4,100 ล้านบาท และโครงการระดับ High-End ด้วยแบรนด์เวียอีก 2 โครงการ บนทำเลสุขุมวิท ลงไปถึงโครงการราคาไม่แพงแบรนด์ เช่น เดอะมูฟ ดีคอนโด และการรื้อฟื้นแบรนด์ เดอะเบส ให้กลับมาอีกครั้ง ส่วนโครงการบ้านจัดสรร แสนสิริมีแผนเปิดขาย 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งมีโครงการระดับ Luxury ที่ถือเป็นพระเอกในปีนี้ ด้วยแบรนด์ นาราสิริ ราคาขายเริ่มต้น 45 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรรในแบรนด์ต่างๆ ซึ่งมีราคาขายเริ่มต้นที่หลากหลาย เช่น เศรษฐศิริ สราญสิริ อณาสิริ และเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ ได้แก่ ณริณสิริ และมาเบิลซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้นที่ 5 ล้านบาทต่อยูนิต จะเห็นได้ว่าแสนสิริให้น้ำหนักโครงการบ้านจัดสรรมากกว่าคอนโดมิเนียมเช่นเดียวกับเอพี

เอพี (ไทยแลนด์) ประกาศเปิดขายโครงการใหม่ในปี 2567 จำนวน 48 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 58,000 ล้านบาท เป็นบริษัทที่มีการเปิดขายจำนวนโครงการมากที่สุดในปี 2567 โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 12,500 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่ 42 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 45,500 ล้านบาท ซึ่งทั้งจำนวนและมูลค่าของโครงการบ้านจัดสรรที่เปิดขายใหม่ในปีนี้ มีจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้เอพีมีการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรราคาแพงซึ่งมีราคาขายเริ่มต้นที่ 100 ล้านบาทต่อยูนิต พื้นที่ใช้สอยกว่า 1,000 ตารางเมตร ภายใต้แบรนด์ “The Palazzo” ใน 2 ทำเลของกรุงเทพมหานคร และยังมีโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์อีกหลายโครงการในหลายระดับราคา รวมไปถึงมีการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรในต่างจังหวัดด้วย เอพีน่าจะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่รายที่แทบไม่มีการขยายไปธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากที่เกี่ยข้องกับการพัฒนาโครงการอสังหาริทรัพย์เพื่อขายเลย


ศุภาลัย ผู้ประกอบการอีกรายที่อาจะดูเหมือนไม่ค่อยได้รับการพูดถึงหรือมีข่าวฮือฮาเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมาก็มีโครงการเปิดขายใหม่มากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย และยังมีการออกไปลงทุนนอกประเทศด้วย ปีพ.ศ.2567 ศุภาลัยประกาศเปิดโครงการใหม่จำนวน 42 โครงการ โดยมีมูลค่ารวมกว่า 50,000 ล้านบาท มากที่สุดในประวัติศาสตร์การดำเนินธุรกิจและเป็นเพียงจำนวนโครงการขั้นต่ำเท่านั้นโดยยังคงรอดูสถานการณ์และความเหมาะสม ซึ่งอาจทำให้มีการเปิดโครงการใหม่มากกกว่าที่ประกาศแผนก็เป็นได้ สำหรับโครงการที่เปิดใหม่ในปีนี้เป็นโครงการบ้านจัดสรร 38 โครงการ มูลค่ารวม 43,500 ล้านบาท ซึ่งจะมีสัดส่วนของโครงการบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปมากขึ้น และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายของบ้านราคาแพงมากขึ้นเป็น 56% ขณะที่การพัฒนาคอนโดมิเนียมจะเกิดขึ้น 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท โครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมที่จะเปิดขายในปี 2567 จะครอบคลุมทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมทั้งมีจังหวัดใหม่ๆ เช่น ลำปาง ราชบุรี และลพบุรี ซึ่งจะทำให้ศุภาลัยมีโครงการครอบคลุม 29 จังหวัด แต่ที่น่าสนใจของศุภาลัย คือ การลงทุนในประเทศออสเตรเลียผ่านการลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการท้องถิ่น Stockland Communities Partnership HoldCo Pty Ltd ด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมกันในชื่อ SSRCP HoldCo Pty Ltd ซึ่งลงทุนร่วมกันมาหลายโครงการในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา และปีพ.ศ.2567 จะลงทุนเพิ่มเติมอีก 12,600 ล้านบาทเพื่อเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัย 12 โครงการ ใน 4 รัฐ 5 เมืองสำคัญของออสเตรเลีย ปัจจุบันโครงการในออสเตรเลียที่ทางศุภาลัยมีส่วนในการร่วมทุนมีมูลค่าทั้งหมดประมาร 187,700 ล้านบาท และเป็นเงินทุนในส่วนของศุภาลัย 22,300 ล้านบาทจากทั้งหมด 24 โครงการ

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ น่าจะเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายต้นๆ ของประเทศไทยที่ขยายธุรกิจของตนเองออกไปยังธุรกิจอื่นๆ มากกว่าแค่การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ดังนั้น ที่ผ่านมาหลายๆปี แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จึงยังคงติดอันดับต้นๆ ในเรื่องของรายได้ และกำไรมาโดยตลอด แม้ว่าจะเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากในแต่ละปี เพราะมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ เสริม ปี 2567 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดขายโครงการใหม่ 11 โครงการ โดยเป็นโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมดมูลค่ารวมกว่า 30,200 ล้านบาท และเป็นโครงการบ้านเดี่ยวเกือบจะ100% มีทาวน์เฮ้าส์เป็นส่วนหนึ่งใน 1 โครงการเท่านั้น ราคาขายเริ่มต้นของโครงการที่เปิดขายในปี 2567 ถ้าไม่นับทาวน์เฮ้าส์จะมีราคาเริ่มต้นที่ 6.2 ล้านบาทต่อยูนิต โดยมีโครงการบ้านจัดสรรระดับ Luxury แบรนด์ นันทวัน ซึ่งมีราคาขายเฉลี่ยที่ประมาณ 96 ล้านบาทต่อยูนิต และส่วนใหญ่โครงการที่เปิดขายในปีนี้จะมีราคาขายเฉลี่ยที่มากกว่า 10 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไป แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เป็นผู้ประกอบการอีกรายที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องของคุณภาพโครงการและการดูแลหลังการขาย ดังนั้น โครงการราคาแพงของพวกแลนด์แอนด์เฮ้าส์จึงได้รับการตอบรับที่ดีมาโดยตลอด

เอสซี แอสเสท เปิดขายโครงการใหม่ในปี 2567 จำนวน 17 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 15 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 25,000 ล้านบาท ซึ่งทาง เอสซี แอสเสทนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นผู้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวอันดับที่ 1 ในประเทศไทย และโครงการบ้านเดี่ยวของ เอสซี แอสเสท ปิดการขายต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งปีนี้มีโครงการบ้านจัดสรรแบรนด์ใหม่ คือ Connoisseur (คอนนาเซอร์) ราคาขายเริ่มต้น 80 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวสำหรับคน Introvert และคน Extrovert หลังจากที่เคยมีบ้านสำหรับคนโสด และคนชอบเล่นเกมมาแล้ว ในขณะที่บ้านจัดสรรโครงการอื่นๆ ยังเป็นแบรนด์ที่คุ้นเคย เช่น แกรนด์บางกอกบูเลอวาร์ด, เดอะเจนทรี, กรานาด้า, บางกอกบูเลอวาร์ด, บางกอกบูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์, เวนิว เพฟ และแบรนด์บ้านแบบโฮมออฟฟิศ เช่น เฮดควอเตอร์ เวิร์คเพลส วีคอมพาวด์ และเวิร์ฟ ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมมี 2 โครงการในชื่อแบรนด์ Reference มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ในทำเลเอกมัย และแถวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เอสซี แอสเสท พยายามเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพียงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายเท่านั้น ซึ่งรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ของ เอสซี แอสเสท ที่จะได้เห็น เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม คลังสินค้า และอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรายได้กำลังเพิ่มขึ้น รวมไปถึงจำนวนโครงการก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน และจะเข้ามาทดแทนการเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยในอนาคต ซึ่งจะทำให้ เอสซี แอสเสท เติบโตอย่างหลายหลายในทุกมิติ

พฤกษา โฮลดิ้ง บริษัทที่เคยเป็นอันดับที่ 1 ในแง่ของจำนวนโครงการและมูลค่าการเปิดขายโครงการใหม่ จากที่เคยประกาศเปิดขายโครงการใหม่ปีละ 60 – 70 กว่าโครงการ ปี 2567 พฤกษาประกาศเปิดขายโครงการใหม่เหลือเพียง 30 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 29,000 ล้านบาท ซึ่ง 27 โครงการเป็นโครงการบ้านจัดสรร และมากกว่า 50% เป็นโครงการบ้านจัดสรรที่มีราคาขายเริ่มต้นที่ 5 ล้านบาทต่อยูนิต โดยมีการตั้งเป้าไว้ว่าจะพัฒนาบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิตให้มีสัดส่วนไม่เกิน 40% แม้ว่าพฤกษาจะเคยได้ชื่อว่าเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดทาวน์เฮ้าส์ราคาไม่แพงก่อนหน้านี้ โดยปีนี้พฤกษามีโครงการบ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาท ในแบรนด์ The Palm และแบรนด์ใหม่ในชื่อ พาราเทีย ส่วนคอนโดมิเนียมมีเพียง 3 โครงการเท่านั้น มูลค่าและรายละเอียดยังไม่ชัดเจน สำหรับรายได้ที่หายไปจากธุรกิจการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยนั้น พฤกษาชดเชยด้วยธุรกิจอื่นๆ ที่มีรายได้ไม่น้อย เช่น ธุรกิจเฮลท์แคร์ผ่านการลงทุนในบริษัท โรงพยาบาลวิมุต จำกัด ตั้งเป้ารายได้สำหรับปี 2567 ที่ 2,300 ล้านบาท มากกว่าปี 2566 ที่มีรายได้ 1,800 ล้านบาท รวมไปถึงการเปิดโรงพยาบาลใหม่แถวถนนสุขุมวิทอีกด้วย ยังมีธุรกิจพรีคาสต์กับธุรกิจรับก่อสร้างซึ่งตั้งเป้ารายได้ปี 2567 ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท อีกทั้งธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งทั้งธุรกิจอีคอมเมอิร์ซ และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์ และอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพซึ่งอาจจะยังไม่มีรายได้มากมายในช่วงที่ผ่านมา แต่ในอนาคตพฤกษาตั้งเป้าให้ทั้ง 2 ธุรกิจนี้เติบโตมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการร่วมทุนกับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เพื่อที่จะพัฒนาโครงการร่วมกัน 3 โครงการ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท พฤกษาอาจจะลดบทบาทในธุรกิจการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย แต่ก็ขยายออกไปในธุรกิจของบริษัทที่แข็งแกร่งได้เช่นกัน

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ น่าจะเป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวที่ยังคงเน้นพัฒนาสินค้าราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาท สูงสุดในปีนี้ เพื่อเจาะกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่สามารถซื้อบ้านได้ที่ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ไปจนถึง 3.6 ล้านบาท หรือมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นฐานกลุ่มใหญ่ที่มากที่สุดถึง 54% แม้จะเป็นกลุ่มที่มีอัตรา Reject Rate สูง แต่ เสนา แก้เกมด้วยบริการ “เงินสดใจดี” เพื่อปลดล็อคการกู้ยาก อัตราดอกเบี้ยแพง กลุ่มสินค้าระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทถือเป็นสินค้าดาวเด่นที่จะสร้างรายได้ให้กับบริษัท โดยวางแผนเปิดตัวทั้งหมด 17 โครงการ มูลค่ารวม 28,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 12 โครงการ และบ้านแนวราบ 5 โครงการ รวมทั้งยังจะได้เห็นบ้านเดี่ยวระดับ Luxury บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ ราคาประมาณ 30 ล้านบาท ที่สร้างจุดเด่นด้วยบริการส่วนตัวระดับ Elite Residences จากกลุ่มพาร์ทเนอร์อย่าง ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป (HHP) ด้วยมาตรฐานของโรงแรมในระดับสากล นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดบริการผลิตภัณฑ์ “RENT TO OWN” ที่ทำหน้าที่เสมือน Financial Asset ช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของบ้านได้ง่าย

แอสเซทไวส์ ผู้ประกอบการที่มาแรงและเปิดขายโครงการต่อเนื่องในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งหลายโครงการปิดการขายหรือมียอดจองสูงมากๆ ตั้งแต่ช่วงเปิดขายแบบเป็นทางการไม่นาน อีกทั้งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อแคมปัสคอนโดตัวจริง เพราะหลายโครงการของแอสเซทไวส์เปิดขายในพื้นที่รอบๆ มหาวิทยาลัยและได้รับการตอบรับที่ดีมาก และโครงการในทำเลอื่นๆ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน รวมไปถึงการขยายออกไปยังจังหวัดภูเก็ตแบบการเข้าซื้อกิจการ และการร่วมทุน รวมไปถึงจังหวัดชลบุรี และจังหวัดนครปฐมก็ได้รับการตอบรับที่ดี ปี 2567 แอสเซทไวส์เปิดขายโครงการใหม่ 12 โครงการมูลค่ารวม 25,920 ล้านบาท โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 9 โครงการมูลค่ารวม 21,820 ล้านบาท โดยมีแคมปัสคอนโดถึง 3 โครงการ ใน 3 ทำเล ทั้งในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดนครปฐม อีกทั้งยังมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในชื่อ Aquarous ซึ่งจะเปิดโครงการแรกที่หาดจอมเทียน พัทยา โครงการบ้านจัดสรรมี 3 โครงการมูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท โดยมีโครงการที่น่าสนใจ คือ CHANN The Riverside แถวพุทธมณฑลสาย 7 ซึ่งเป็นโครงการติดแม่น้ำท่าจีน มูลค่าโครงการกว่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 44% ของมูลค่าโครงการบ้านจัดสรรที่เปิดขายในปี 2567 โครงการในภูเก็ตก็ยังมีต่อเนื่องภายใต้แบรนด์เดอะไทเทิล และโครงการขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท ที่ทางแอสเซทไวส์ร่วมทุน 30% กับทางบริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ซึ่งทุกโครงการในภูเก็ตได้รับการตอบรับที่ดีมากในปีที่ผ่านมา

กลุ่มออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ผู้ประกอบการที่มีการเปิดขายโครงการมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและขยันออกมาแคมเปญหรือการขายโครงการ ในรูปแบบใหม่ๆ ต่อเนื่อง รวมไปถึงการขยายไปธุรกิจอื่นๆ และการร่วมทุนกับทั้งผูประกอบการต่างชาติหลายราย และการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินคนไทยเพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน นอกจากนี้ออริจิ้นยังเป็นบริษัทที่มีการแยกบริษัทย่อย และผลักดันให้บริษัทย่อยมีรายได้จนสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปได้หลายบริษัทแล้ว การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของออริจิ้นจึงแยกออกตามการแบ่งภายในองค์กร โครงการบ้านจัดสรรจะพัฒนาภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) โดยปี 2567 บริทาเนียจะเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรใหม่ 20 โครงการมูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท โดยมีโครงการในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวมไปถึงมีการขยายออกไปอีก 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี และขอนแก่น ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมจะพัฒนาภายใต้ชื่อบริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ ปี2567 จะมีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 14 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายโครงการใหม่ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัดในทุกกลุ่มผู้ซื้อ อีกทั้งโครงการส่วนใหญ่ยังเป็นโครงการที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ด้วย ซึ่งทางออริจิ้นมีโครงการเพื่อรองรับความต้องการนี้มากที่สุดแล้วในช่วงที่ผ่านมา โครงการในต่างจังหวัดที่น่าสนใจยังคงเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในภูเก็ต ซึ่งปีนี้จะเปิดขายอีก 2 โครงการ การขยาย และปรับเปลี่ยนภายในองค์กรครั้งนี้น่าจับตามองในระยาวหลังจากที่บริษัทในเครือออริจิ้นจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว คือ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาน), บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) และบริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) อาจจะมีบริษัทอื่นๆ ตามมาอีก และบริษัทร่วมทุนที่ดำเนินกิจการร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ อีกหลายบริษัท

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ผู้ประกอบการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งในเรื่องของรูปแบบโครงการ และการเปิดขายโครงการ ปี 2567 มีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท โดยเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 4,080 ล้านบาท ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้ของโนเบิลมีทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,230 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งโครงการที่เป็นอาคารสูง และอาคาร 8 ชั้น ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยที่น่าสนใจ คือ โครงการ Nue Coast Khu Khot Station โครงการที่อยู่บนที่ดินแปลงใหญ่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าคูคตซึ่งเคยเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมก่อนหน้านี้แล้ว ทางโนเบิลมีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยที่น่าสนใจ เช่น การร่วมทุนกับทางกลุ่มบีทีเอส ซึ่งที่ผ่านมามีการนำที่ดินของกลุ่มบีทีเอสมาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยหลายแปลงแล้ว เช่นที่ พระราม 9 คูคต และราษฎร์บูรณะ เป็นต้น โนเบิลยังมีโครงการที่ร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยและต่างชาติที่น่าติดตามด้วย โครงการ Embassy Wirless ที่ร่วมกับทาง Hongkong Land มูลค่ากว่า 9,550 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้มียอด Pre-sale จากต่างชาติแล้วกว่า 2,200 ล้านบาท

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 11,600 ล้านบาท เน้นจับตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านลักซ์ชัวรี เน้นสร้างรายได้จากค่าเช่าให้เติบโตแข็งแกร่งผ่านธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าที่จะลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาทในการขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการอีก 150,000 ตารางเมตร เพิ่มจากปัจจุบันที่มีอยู่ 3.5 ล้านตารางเมตร ทั้งในไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม มุ่งสร้างสู่การเป็น Real Estate as a Service Brand ผ่าน 3 มิติ คือ Space-as-a-Service / Community-as-a-Service และ Sustainability-as-a-Service

กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ในปีนี้ยังคงให้น้ำหนักส่วนใหญ่ไปกับการลดหนี้ โดยวางเป้าที่ 11,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีจากการขายที่ดินและเงินคืนจากบริษัทร่วมทุน รวมทั้งมีแผนจะขายที่ดิน 2 แปลงย่านรามอินทรา และ ย่านรัชดาภิเษก รวมทั้ง มีแผนจะขายโรงแรมในกรุงเทพ 1 แห่ง โดยมีนักลงทุนจากต่างชาติสนใจเข้ามาเจรจาแล้วหลายราย สำหรับการเปิดโครงการใหม่นั้นมีแผนเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 7,700 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 5 โครงการ มูลค่า 6,290 ล้านบาท ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ 2 โครงการ มูลค่า 1,410 ล้านบาท ไม่มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้ โดยจะโฟกัสกลุ่มลูกค้าทั้งระดับกลาง-บน และลักชัวรี แบ่งสัดส่วนเป็นกลุ่ม Midle-High 58%,First Home 28%,Luxury 28% และคอมเมอร์เชียล 3%

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการเป็นบ้านแนวราบทั้งหมด มูลค่ารวม 7,200 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่ปทุมธานี 5 โครงการ และจังหวัดนครปฐม 1โครงการ ล้านบาท เน้นจับตลาดสินค้าบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-7 ล้านบาท,บ้านแฝดดีไซน์ใหม่สไตล์บ้านเดี่ยว ราคา 4-5 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ราคา 2-3 ล้านบาท รวมทั้งจะเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่ม Segment ใหม่ เพื่อสร้างฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิดโครงการใหม่ประมาณ 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท เป็นบ้านแนวราบทั้งหมดครอบคลุม 4 มุมเมืองทั้งปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ และนครปฐม เบื้องต้นจะเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกก่อน 6 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังจะรอดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศก่อนเพื่อนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนโครงการที่เหลือ

แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ผู้ประกอบการที่เคยมีโครงการคอนโดมิเนียมราคาไม่แพงเปิดขายต่อปีมากเป็นอันดับต้นๆ ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านผู้บริหารและทิศทางของบริษัทที่วางตัว Re-Balance ทำให้ปีนี้เปิดโครงการใหม่เพียง 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,520 ล้านบาท ที่น่าสนใจ คือ เป็นโครงการบ้านจัดสรร 5 โครงการ มูลค่า 5,540 ล้านบาท ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมีโครงการคอนโดมิเนียมเพียง 1 โครงการมูลค่า 980 ล้านบาท การเปิดขายโครงการน้อยลงเพื่อที่จะได้ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนสต็อกคงค้างให้กลายเป็นเงิน ซึ่งแอล.พี.เอ็น.ตั้งเป้าไว้ว่าจะขายสินค้าคงเหลือให้ได้ 4,500 – 5,000 ล้านบาท ปี 2567 อาจจะได้เห็นกลยุทธ์ด้านราคาในแบบที่แอล.พี.เอ็น.ไม่เคยทำมาก่อนในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้แอล.พี.เอ็น.ยังมีบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการ บริหารอาคาร การบริการหลังการขายอย่างครบวงจร บริหารชุมชน รักษาความปลอดภัย การควบคุมงานก่อสร้าง งานวิจัย การศึกษาพื้นที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ซึ่งทางแอล.พี.เอ็น.ตั้งเป้าไว้ว่าปี 2567 จะแต่งตัว บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่มีผลประกอบการดี โดยปีที่ผ่านมาแอล พี พี มีรายได้ประมาณ 1,560 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท แอล.พี.เอ็น.เป็นอีกรายที่บริษัทในเครือสร้างผลงานได้โดดเด่นต่อเนื่องทั้งในแง่ของรายได้ และเสียงตอบรับ

สิวารมณ์ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2567 รวม 6 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 4,632 ล้านบาท เน้นพัฒนาโครงการโซน พุทธมณฑล, บางแค-สาทร เพิ่มเติมเพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้า โดยจะเริ่มเห็นการเปิดขายโครงการใหม่ตั้งแต่ ไตรมาส 2/2567 เป็นต้นไป ได้แก่ ได้แก่ โครงการ สิวารมณ์ ไฮด์ (บางแค-สาทร) / โครงการ สิวารมณ์ ไฮด์ (พุทธมณฑล สาย 3) / โครงการ สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส บางปู 104 (บางปู 104) และโครงการ แกรนด์สิวารมณ์ 2 (สุขุมวิท-บางปู) โดยมี 2 โครงการที่เลื่อนมาเปิดในปีนี้ คือ โครงการ สิวารมณ์ ปาร์ค (ประชาอุทิศ 76) และโครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (บางกรวย-ไทรน้อย)

ชีวาทัย บริษัทวางแผนหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการจำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3,700 ล้านบาท ประกอบด้ว ยคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร 2 รายเพื่อพัฒนาโครงการร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังสนใจเข้าซื้อโครงการ (M&A) โดยเฉพาะโครงการประเภทคอนโดฯโลว์ไรส์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งหาโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโรงงานให้เช่าอีกครั้งร่วมกับพันธมิตร U work จำนวน 4 โรงงาน มูลค่าโครงการ 210 ล้านบาท ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง

หากพิจารณาจากข้อมูลการเปิดขายโครงการใหม่ของผู้ประกอบการต่างๆ จะค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนว่า ปี 2567 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เลือกที่จะเปิดขายโครงการใหม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา หรืออาจจะมีจำนวนโครงการเท่าเดิมแต่มูลค่าในการลงทุนเพิ่มขึ้นตามปัจจัยในด้านของต้นทุน และราคาขายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ยังเป็นการเลื่อนเปิดโครงการจากปีที่แล้วเนื่องด้วยปัจจัยหลายๆอย่างที่เป็นองค์ประกอบต่อการพิจารณาของผู้ประกอบการ นอกจากนี้จะเห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่เลือกที่จะลดสัดส่วนของโครงการที่มีราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิตลง และมีสัดส่วนของโครงการที่มีราคาขายเริ่มต้นมากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไปมากขึ้น รวมทั้งสัดส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมก็ลดน้อยลงเช่นกัน มีผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่มีโครงการคอนโดมิเนียมมากกว่าโครงการบ้านจัดสรร นั่นแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่ปีของคอนโดมิเนียม และยังไม่อยู่ในจุดที่ผู้ประกอบการมั่นใจในการเปิดขายโครงการ แม้ว่าการเข้ามาของชาวต่างชาติที่เป็นผู้ซื้อกลุ่มหนึ่งของตลาดคอนโดมิเนียมในประเทศไทยจะมากขึ้นแล้วก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อชาวจีนที่เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในตลาดคอนโดมิเนียมจะสามารถเข้าประเทศไทยได้สะดวกมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับกำลังซื้อในประเทศมากกว่า การชะลอการเปิดขายโครงการใหม่จึงเป็นทางเลือกที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนไทยในปีนี้

ทั้งนี้ยังคงมีบริษัทรายใหญ่อย่าง บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) ที่ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าในปีนี้จะมีการเปิดตัวทั้งสิ้นกี่โครงการ มูลค่าเท่าไร คงต้องจับตาดูว่าหลังจากที่ทั้ง 2 บริษัทออกมาประกาศแผนธุรกิจประจำปี 2567 อย่างเป็นทางการแล้วจะเบียดบริษัทคู่แข่งเพื่อแย่งชิงการขึ้นอันดับบริษัทที่มีการเปิดตัวและมูลค่าสูงสุดได้หรือไม่ รวมทั้งจะมีกลยุทธ์อย่างไรท่ามกลางปัจจัยลบที่ส่งผลต่อภาคธุรกิจอสังหาฯ…!!!

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*